สะพานแขวนทำมือของชาวอินคา : มรดกของกาลเวลาที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน

สูงขึ้นไปบนเทือกเขาแอนดีส ในประเทศเปรู ยังคงมีสะพานแขวนเชือกเก่าแก่แห่งหนึ่ง ที่แขวนพาดข้ามแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว สะพานแขวนแห่งนี้เป็นมรดกทางกาลเวลาแห่งเดียว ที่ยังหลงเหลืออยู่จากยุคสมัยของอาณาจักรอินคา หนึ่งในอาณาจักรโบราณที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งเคยมีความรุ่งเรืองถึงขีดสุดในอดีต และสะพานในลักษณะดังกล่าว ก็เป็นผลงานจากการพยายามขยายขอบเขตแห่งความรุ่งเรืองนั้นมาก่อน

จักรวรรดิอินคาเคยตั้งอยู่ทางตะวันตกสุดของทวีปอเมริกาใต้ มีอาณาเขตครอบคลุมตั้งแต่ป่าฝนที่ใหญ่ที่สุด อย่างอะเมซอน ทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุด อย่าง อาตากามา และเทือกเขาที่สูงที่สุดในโลกตะวันตกอย่าง แอนดีส อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่สุดในโลก พวกเขาพัฒนาอย่างโดดเดี่ยว จนกระทั่งถูกสเปนเข้ายึดครองในปี ค.ศ. 1532 พื้นที่ของจักรวรรดิตั้งอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงชัน หุบเขาลึก และแม่น้ำที่เชี่ยวกราก ดังนั้นเพื่อเชื่อมต่อเมืองต่างๆของชาวอินคา จึงจำเป็นต้องมีหนทางในการข้ามผ่านอุปสรรคทางธรรมชาติ ที่ยากลำบากเหล่านี้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีเกวียน หรือรถม้าที่มีล้อ ถนนและสะพานของพวกเขา จึงได้รับการออกแบบมา เพื่อให้คนเดินเท้าและสัตว์สามารถบรรทุกสิ่งของได้ ด้วยระบบวิศวกรรมอันชาญฉลาด และการจัดการที่เข้มงวด ทำให้พวกเขาสามารถสร้างจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยมีมาในทวีปอเมริกา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของประเทศโคลอมเบีย เอกวาดอร์ เปรู โบลิเวีย ชิลี และอาร์เจนตินาในปัจจุบัน โดยมีประชากรถึง 12 ล้านคน และภาษาถึง 100 ภาษา ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่ต้องยกย่อง นั่นคือ ระบบถนนอันน่าทึ่งที่ใช้สำหรับการสื่อสาร การค้า และการทหาร จนได้รับการยกย่องว่าเป็น หนึ่งในความสำเร็จทางวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ ที่รู้จักกันในชื่อ "กาปัก ยัน" (Qhapaq Ñan) หรือ ระบบถนนอินคา ซึ่งทอดยาวกว่า 40,000 กิโลเมตร จากเหนือลงใต้ พร้อมด้วยเส้นทางเล็กๆ อีกหลายเส้นจากตะวันออกไปทางตะวันตก โดยมีความยาวเป็นรองแค่จากระบบถนนของโรมันเพียงเท่านั้น 

จากที่กล่าวมาแล้วว่า ระบบถนนดังกล่าวทอดผ่านภูมิประเทศที่โหดร้าย และทุรกันดารที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ชาวอินคาจึงต้องสร้างถนนหนทาง เพื่อข้ามผ่านอุปสรรคทางธรรมชาติ พวกเขาทั้งขุดอุโมงค์ขนาดใหญ่ผ่านภูเขา เรียงรายไปด้วยเส้นทางหินที่งดงาม สร้างบันไดวนที่แกะสลักขึ้นสู่หน้าผา และสร้างสะพานแขวนเชือกเพื่อข้ามหน้าผาเหล่านั้น ชาวอินคาใช้ระบบสะพานแขวนอันชาญฉลาด เพื่อข้ามหุบเขา และเชื่อมต่อเครือข่ายถนนเข้าด้วยกัน แต่ชาวอินคาไม่ได้สร้างสะพานจากโลหะหรือไม้ พวกเขาค่อยๆทอสะพานขึ้นจากหญ้า ผู้คนจะเก็บรวบรวมเส้นใยพืชเหล่านี้จำนวนมาก จากนั้นจะบิดและถักเป็นเชือกหนาๆ ที่มีความแข็งแรง และรับน้ำหนักได้มากอย่างเหลือเชื่อ เมื่อเชือกเส้นเล็กจำนวนมาก ถูกถักเข้าด้วยกันเพื่อทำเส้นสายเชือกที่หนาขึ้น เส้นสายใหญ่ๆที่ได้มาเหล่านั้น จะถูกบิดเข้าด้วยกัน เพื่อทำเป็นเชือกค้ำยันหลักของสะพาน พวกมันมีความหนาเท่ากับร่างกายของคน และจะถูกยึดอย่างแน่นหนากับฐานหินขนาดใหญ่ จากทั้งสองด้านของหุบเขา แล้วเชือกเส้นเล็กจะถูกเพิ่มเข้าไปที่ด้านบน เพื่อใช้เป็นราวจับ เชือกราวจับเหล่านี้จะถูกผูกเข้ากับสายเชือกหลัก เพื่อสร้างโครงสร้างที่มั่นคง สุดท้าย พื้นระเบียงทางเดินที่ทำจากเสื่อสาน หรือมัดของกิ่งไม้ ก็จะถูกปูทับมัดแน่นบนสายเชือกหลักและราวบันได

เมื่อครั้งที่จักรวรรดิอินคายังรุ่งเรือง คาดว่ามีสะพานแขวนเชือกในลักษณะดังกล่าวเกือบ 200 แห่ง ทอดยาวพาดผ่านไปตามหน้าผา ในแนวถนน กาปัก ยัน นี้ แต่เมื่อจักรวรรดิล่มสลายลง และวันเวลาผ่านไปหลายร้อยปี สะพานหลายแห่งถูกทำลาย บางแห่งก็ไม่มีการใช้งาน ทำให้ในที่สุดก็ผุพังหายไป จนในปัจจุบันคงเหลือสะพานแขวนเชือกเพียงแห่งเดียว ที่หลงเหลืออยู่อย่างเป็นทางการ บนถนนสายนี้ คือ สะพานเกสวาชากา (Qeswachaka) ที่ทอดยาวข้ามผ่านแม่น้ำอาปูรีมัก ใกล้กับหมู่บ้านฮุยนชิรี ในเขตที่ราบสูงทางตอนใต้ของเปรู ชื่อของสะพานมาจากคำในภาษาเกชัว คือคำว่า q'eswa ที่แปลว่า เชือก และคำว่า chaka ที่แปลว่าสะพาน ความหมายของชื่อสะพาน จึงหมายถึง "สะพานเชือก" นั่นเอง ตัวสะพานได้รับการขึ้นทะเบียน เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ขององค์กรยูเนสโก อันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของสะพาน ต่อผู้คนที่ยังอาศัยอยู่ในภูมิภาคนั้น สะพานเกสวาชากาแห่งนี้ ไม่ได้มีความสำคัญกับผู้คนและชุมชม เพียงแต่ในฐานะของการเชื่อมต่อคมนาคมในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงคุณค่าทางวัฒนธรรม และประเพณีต่างๆอีกด้วย เพราะยังมีประเพณีที่เกี่ยวข้อง กับการซ่อมแซมสะพานแขวนเชือกแห่งนี้ในทุกๆปี และเหตุผลหลักที่ทำให้ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับตัวสะพานยังยืนหยัดมาได้ นั่นเป็นเพราะทำเลที่ตั้งอันโดดเดี่ยวห่างไกลนั่นเอง ซึ่งแม้วันนี้จะมีการสร้างสะพานแห่งใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้น ในระยะที่ห่างออกไปจากกันไม่ไกลมากนัก เพื่อให้รถยนต์ใช้ข้ามไปมาสัญจรได้ด้วย แต่ชาวบ้านในท้องถิ่นยังคงเดินข้ามสะพานเชือกเก่าแห่งนี้ เพื่อค้าขายและไปมาหาสู่กันอย่างคุ้นชินดังเดิม

สะพานเกสวาชากายังคงได้รับการซ่อมแซมใหม่ในทุกปี และชาวบ้านจะจัดขึ้นเป็นประเพณีใหญ่ ที่มีการเฉลิมฉลองด้วยอาหาร ดนตรี และการเต้นรำ มีผู้คนเกือบพันคน โดยเกือบทั้งหมดเป็นคนท้องถิ่น จะเข้าร่วมเทศกาลที่จะจัดขึ้นราวๆสี่วัน ชาวบ้านจากชุมชนต่างๆในละแวกใกล้เคียง จะมารวมตัวกันเพื่อสร้างสะพานขึ้นใหม่ โดยใช้เทคนิคแบบเดียวกับที่บรรพบุรุษชาวอินคาเคยใช้ เมื่อหลายศตวรรษก่อน ซึ่งเทศกาลนี้จะจัดขึ้นทุกเดือนมิถุนายน 

สารคดี เรื่อง สะพาน เกสวาชากา จากช่องยูทูปของสถานีโทรทัศน์ Arte ของฝรั่งเศส

โดยในวันแรก ผู้ประกอบพิธีจะประกอบพิธีกรรม เพื่ออุทิศแด่เทพเจ้าอาปุส (เทพแห่งภูเขา) จากนั้นเทศกาลจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อสะพานเชือกเก่าถูกตัดออก และทิ้งลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง ขณะที่เวลาเดียวกัน เหล่าผู้หญิงจากในหมู่บ้าน จะเก็บหญ้าอิชู เพื่อนำไปใช้สร้างสะพานใหม่ พวกเธอจะค่อยๆถักหญ้าเป็นเชือกที่มีความหนาต่างกัน ตามวิธีการทำเชือกสะพานแบบดั้งเดิม ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ต่อมาในวันที่สองและสาม เชือกที่ใหญ่และหนาที่สุด จะถูกขึงข้ามหุบเขาลึกประมาณ 30 เมตร เหนือแม่น้ำอาปูรีมัก เชือกเหล่านี้จะใช้เป็นฐานของสะพานใหม่ที่กำลังก่อสร้าง เชือกเส้นเล็กจะถูกใช้ยึดเชือกเส้นใหญ่เข้าด้วยกัน ไม้เล็กๆจะถูกสานเข้ากับพื้นสะพาน ในขณะที่ผู้หญิงรับผิดชอบหน้าที่การสานเชือกจากหญ้า ในตอนนี้ผู้ชายก็จะรับผิดชอบการยึดเชือกเหล่านี้ เข้ากับฐานที่ปลายทั้งสองข้าง จนในวันสุดท้าย ที่สะพานสร้างเสร็จแล้ว ก็จะมีการทดสอบความแข็งแรง และสะพานก็จะเปิดให้บริการแก่สาธารณชน แม้จะมีสะพานแห่งใหม่ที่ทันสมัยกว่า ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลกันนัก ผู้คนจำนวนมากก็ตั้งตารอคอยที่จะข้ามมันทันที ช่วงบ่ายแก่ๆ จะมีพิธีบูชา กลุ่มชายผู้แต่งกายแบบอินคาดั้งเดิม จะเดินลงมาจากเนินเขาใกล้เคียง และข้ามสะพาน ผู้นำของพวกเขาคือหมอผี ผู้คนจะยืนเรียงแถวกันบนบันไดที่ทอดลงไปยังสะพาน และรับพรจากนักบวชอินคา ตามด้วยขบวนแห่ธง นักร้องหญิง และลามะ ซึ่งในบางครั้งพวกเขาอาจไม่ข้ามสะพาน และเดินกลับขึ้นเนินเขาไปเหมือนเดิม แล้วจึงปิดท้ายวันเทศกาลด้วยการเฉลิมฉลอง ให้กับการทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมด เพื่อการสร้างสะพานใหม่ที่ผ่านมา นักเต้นระบำพื้นเมืองจากพื้นที่โดยรอบ และจากเมืองใหญ่เช่น กุสโก จะมารวมตัวกัน เพื่อโชว์การแสดง พ่อค้าแม่ค้าจะมาขายอาหารประจำเทศกาล เช่น หนูตะเภาอบ และ ปลาเทราต์ทอด การเต้นรำ ดนตรี และการรับประทานอาหารจะดำเนินต่อไปอีกตลอดวัน งานเลี้ยงจะขยายออกไปบนเนินเขาโดยรอบ ตลอดทั้งวันจะมีคนมาต่อแถวยาวเหยียดที่สะพาน เพื่อมาถ่ายรูปกับท่าโพสเด็ดๆ และชื่นชมสะพานที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ 

ด้วยเทศกาลที่มีสีสัน และองค์ประกอบของวัฒนธรรมต่างๆดังกล่าว รวมไปถึงการร่วมแรงร่วมใจกันของคนในชุมชน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้มรดกแห่งกาลเวลาของจักรวรรดิอินคา อย่างสะพานแขวนเชือกเกสวาชากา นี้ ยังคงอยู่สืบต่อไป ดังที่จะเห็นได้จากความเปลี่ยนแปลงของชุมชน ที่มีรายงานเรื่องการเปลี่ยนแปลงความถี่ ในการสร้างสะพานใหม่ ก่อนหน้านี้ ชุมชนละแวกดังกล่าวเปลี่ยนสะพานแขวนเพียงสามปีต่อครั้ง แต่เมื่อเรื่องราวของพวกเขากลายเป็นที่สนใจจากคนทั่วโลก จนดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวชมมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจึงเปลี่ยนสะพานขึ้นใหม่ทุกๆปี จนเป็นที่มาของเทศกาลที่จัดขึ้นปีละครั้ง ซึ่งไม่ใช่แค่ประโยชน์ในเรื่องรายได้ที่จะไหลเข้าสู่ชุมชน หรือ การสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างชุมชนในละแวกใกล้เคียงเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ในเรื่องความปลอดภัยแก่ผู้คนในหมู่บ้านเองด้วย เมื่อพวกเขาได้ใช้สะพานใหม่ที่แข็งแรงขึ้นทุกครั้งในทุกปี 


อ้างอิง



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เชียงตุงและเมืองลา 2014

บ่อแก้วในวันฝนพรำ

My Family to Northeast Thailand in 1999