บ่อแก้วในวันฝนพรำ



การเดินทางเริ่มขึ้นแต่เช้าตรู่ที่วัดในวันฝนตก พระ เณร แม่ชี คนขับรถ และผม ช่วยกันขนกล่องหนังสือและต้นไม้ที่จะนำไปปลูกขึ้นรถ การเดินทางจากลำปางไปยังด่านเชียงของเป็นไปอย่างธรรมดา ถนนช่วงเชียงคำถึงเชียงของถูกรื้อทำใหม่เพื่อปรับปรุงต้อนรับยุคอาเซียน เราจึงเดินทางกันอย่างระมัดระวัง ขับช้าๆไปบนทางซ่อมลูกรัง พระเณรที่มาด้วยกันก็พากันหลับไป ในที่สุด.... ก็มาถึงเชียงของในเวลาบ่าย 3 โมง เราแยกกับแม่ชีและคนขับรถ เพื่อข้ามไปฝั่งลาว

เราเอ่ยทักทายกับครอบครัวของพระหล้า แล้วพากันนั่งรถไปที่วัดพระธาตุผ้าคำ ซึ่งอยู่บนเนินเขาติดริมแม่น้ำโขงใกล้ๆกันนั่นเอง จากนี้ไม่ไกล สามารถมองเห็นสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 เชื่อมประเทศไทย-ลาวได้ชัดเจน ถนนเส้นนี้นำเราไปสู่เมืองหลวงน้ำทา บ่อเต็น ทะลุไปถึงสิบสองปันนา ประเทศจีนได้
หมู่บ้านที่เราอยู่นี้ เรียกว่า หมู่บ้าน ตีนทาด หรือถ้าเข้าใจในความหมายภาษาไทยก็คือ ตีนพระธาตุนั่นเอง พระธาตุแห่งนี้อายุร้อยกว่าปีแล้ว สมัยก่อนเป็นวัดร้าง และถูกบูรณะ ฟื้นฟูใหม่ วันนี้ วัดพระธาตุผ้าคำ คึกคักไปด้วยพระและเณรหลายรูป รวมไปถึงพระเณรที่มากับผมจากท่ามะโอ ซึ่งเคยบวชเรียนอยู่ที่วัดนี้เช่นเดียวกัน

บรรยากาศที่วัดดูสงบ เรียบง่าย เย็นสบายกว่าเมืองไทย ฝนตกพรำตลอดเวลาที่เรามาถึง เราช่วยกันขุดหลุมเตรียมปลูกต้นไม้ ท่ามกลางสายฝน เณรเล่นกันอย่างสนุกสนาน ต่างดีใจที่ได้กลับมาบ้าน พบเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน เป็นเวลาที่ช่วยลงแรงทำประโยชน์และสนทนากันให้หายคิดถึง สุนัขวัดเข้ามาเล่นคลอเคลีย พร้อมกับเจ้าแมวที่อยู่ด้วยกันอย่างสามัคคี หลังจากที่ขุดต้นไม้เสร็จแล้ว จึงพากันอาบน้ำเย็นจัด สดชื่น และเดินเท้าลงจากเนินเขาไปยังบ้านใหม่ของหลวงพี่ ที่ที่เราสวดมนต์ขับไล่สิ่งชั่วร้าย รับพร ผมได้พูดคุยกับครอบครัวของหลวงพี่ และเล่นกับหลานของท่าน เณรน้อยดูตื่นเต้นกับการถ่ายรูปด้วยกล้องชุดใหม่ การสวดมนต์กินเวลายาวนานถึงชั่วโมงกว่าๆ จนผมต้องชงโอวัลตินให้พระท่านดื่ม

เมื่อเสร็จจากการสวดมนต์เราเดินลุยพื้นดินเปียกๆกลับไปยังบ้านหลวงพี่หล้าอีกครั้ง ครอบครัวของท่านเชิญผมทานข้าวเย็นด้วยกัน เป็นอาหารแบบที่เมืองไทย รับประทานกับข้าวเหนียว ผมรู้สึกอบอุ่นใจ และได้เปิดเพลงของผมให้พวกเขาฟัง และดีใจที่พวกเขาชอบเพลงของผม พระหล้าให้ผมนอนค้างกับน้องชายของเขา น้องชายของพระหล้าอยู่บ้านในช่วงปิดเทอม เขากำลังเรียนอยู่ที่เวียดนาม เราคุยกันจนถึงตี 1 ถึงเรื่องราวของการงาน และชีวิตในต่างแดน จนหลับไป

รุ่งเช้าผมตื่นหลังน้องชายของพระหล้า ซึ่งลุกไปขายของที่ตลาดตั้งแต่ตี 4 พระหล้ามารับผมกลับไปที่วัด เพื่อช่วยกันปลูกต้นไม้ต่อ แต่หลังจากปลูกต้นไม้ไปได้สักระยะหนึ่ง ผมก็ต้องกลับเข้าไปหลบอยู่ในกุฏิกะทันหัน เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญอย่างหนึ่งขึ้น....

มีโจรหลบหนีการไล่ล่าของตำรวจเข้ามาในวัด เข้าไปซ่อนตัวบนฝ้าเพดานกุฏิของหลวงพ่อ ตำรวจนับสิบ ทั้งยิง ทั้งรมควันไล่ล่าโจร ตั้งแต่บ่ายสอง ทำให้ผมไม่ได้ออกไปช่วยพระเณรปลูกต้นไม้ต่อ แต่ทำให้ผมได้มานั่งเล่นกับเณรลาวอีกกลุ่มหนึ่ง และได้ทำความรู้จักกัน เราถูกสั่งให้หลบโจร ขณะที่โจรกำลังวิ่งหนีตำรวจอยู่ภายในเขตวัด เหมือนจะกลัวแต่ก็ไม่กลัว เราพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน หยอกล้อกัน มีทั้งหลวงพี่ที่บวชใหม่ พระลาว เณรลาว ต่างเข้ามาพูดคุยกับผมในเรื่องราวชีวิตของพวกเขา ภายในห้องมีสิ่งต่างๆครบครัน อาจจะดูเล็กแคบไปหน่อย แต่อากาศก็เย็นสบาย น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกปลอดภัยและชอบบรรยากาศแบบนี้เสียเหลือเกิน ผมได้ลองทานลาบปลาและอาหารพื้นเมืองของลาว อร่อยเหมือนกันนะ

ผมออกมาอาบน้ำในเวลา 6 โมงเย็น ตำรวจยังไม่สามารถจับคนร้ายได้ โจรได้ออกจากกุฏิหลวงพ่อไปยังกุฏิเณรอีกหลังหนึ่ง และมีตำรวจบาดเจ็บ 1 นาย การไล่ล่าเริ่มยาวนานขึ้นเรื่อยๆ มีตำรวจมามากขึ้นๆ ผมก็ต้องเก็บตัวอยู่ในกุฏิเณรหลังเดิม พวกเราต้องล็อกประตูแน่นหนา รวมถึงสำลักแก๊สที่รมเพื่อไล่คนร้ายอีกด้วย สุดท้ายตำรวจสามารถจับคนร้ายได้ในเวลา 4 ทุ่ม ผมจึงสามารถกลับไปนอนที่อารามได้

คืนนั้นเณรสามารถพักผ่อนและรับอนุญาตให้ดูการ์ตูนได้ เณรดูการ์ตูนที่ผมชอบ และเล่าถึงตอนจบที่ขาดหายไป ผมกับหลวงพี่ยังตื่นเต้นเรื่องการจับโจรไม่หาย คุยกันสนุกสนาน โดยมีแมวน้อยมานอนฟังออดอ้อนคลอเคลียข้างๆ ในอารามสงบเงียบ หลังจากตำรวจจากไป มีเพียงเสียงของสายฝนเท่านั้น ที่ขับกล่อมค่ำคืนอันยาวนานในต่างแดน

รุ่งเช้า เณรร่วมแรงกันซ่อมกุฏิ ผมแวะไปบริจาคหนังสือที่ห้องสมุดของหลวงพี่ หลวงพี่แฮหัวหน้าเณรแห่งวัดท่ามะโอได้เปิดห้องสมุดไว้ที่วัดแห่งนี้ เพื่อเป็นทานแก่ชาวบ้านและเด็กด้อยโอกาส ผมหวังว่าหนังสือธรรมะและสารคดีของผมจะเป็นประโยชน์ต่อทุกๆคน ผมถวายปัจจัยต่างๆที่จำเป็นในช่วงเข้าพรรษาแก่พระ อธิษฐานถึงครอบครัวของผม มาครั้งนี้ผมอยากจะให้บุญแผ่ไปถึงครอบครัวของผมด้วย ถึงแม้จะเสี่ยงเซียมซีได้ใบที่ไม่ดีนัก ต้องใบที่สองถึงจะโชคดีขึ้นมา ผมต้องให้เณรลาวแปลบทภาษาลาวให้ แต่ผมก็รู้สึกอุ่นใจ จากนั้นผมได้รับข่าวว่ามีเณรรูปหนึ่งไม่ได้เดินทางกลับกับพวกเราด้วย เนื่องจากอยากจะอยู่ที่ลาวต่อไป ผมไม่สามารถห้ามหรือเปลี่ยนใจเณรได้ ถ้านั่นคือความสุขของเขา เราบอกลากัน ด้วยคำง่ายๆสั้นๆ หากเณรบอกกับผมว่า เราจะไม่ลืมกัน

ในระหว่างที่นั่งรถเมล์กลับลำปาง เณรรูปหนึ่งที่นั่งข้างผม ขอพิงไหล่ของผมด้วยคำพูดน่าเอ็นดู
"โยมพี่ ผมขอพิงไหล่โยมพี่นอนได้ไหม"
ผมตอบไปว่าตามสบาย แต่ไม่กลัวโยมพี่กระตุกเหรอ เณรตอบยิ้มๆ ไม่กลัวครับ กระตุกตามสบายเลยครับ แล้วเณรก็เอาหัวอิงไหล่ของผมหลับปุ๋ยไป
ในนาทีหนึ่งหลังจากนั้น ผมรู้สึกว่าเณรละเมอ ผมกำลังจะขยับตัว
ผมเห็นภาพเณรละเมอยิ้มหวาน เป็นยิ้มที่มีความสุขที่สุด มือของเณรจับผ้าจีวรไว้แน่น แถมบิดไปมา
ผมคิดในใจแล้วก็ยิ้ม เอ.... กำลังฝันถึงอะไรนะ??

แน่นอนว่ามันเป็นเวลาเพียงแค่ 3 วัน
แต่สำหรับคนที่พลัดถิ่นจากไกล มันเป็นเวลาที่มีค่าที่สุดที่ได้กลับไป
สำหรับผมเองก็มีค่าที่สุดเช่นกัน ที่ได้ไปในที่ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
แม้ไม่ได้ไปที่ไหนมากมาย แต่ผมก็ดีใจที่ได้รับมิตรภาพดีดีจากที่นี่

แล้วจะมาใหม่อีกครั้งนะ

ป.ล. พูดถึงเรื่องโจร ผมคงดวงไม่ดีจริงๆ ความจริงแล้วผมคิดว่า ที่นี่ก็ปลอดภัยในระดับหนึ่ง ถ้ารู้จักเซฟตัวเอง เช่นไม่ออกไปไหนคนเดียว หรือไปไหนตอนกลางคืนอย่างนี้นะครับ ผู้คนที่นี่เป็นมิตรมากๆครับ ถึงบ่อแก้วไม่มีที่เที่ยวอะไรมาก แต่ช่วงเทศกาลทางศาสนาจะมีคนเยอะมากๆ น่ามาเยือนครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เชียงตุงและเมืองลา 2014

My Family to Northeast Thailand in 1999