ครั้งหนึ่งในโอกินาวา (ปี 2019)
สวัสดีครับ กลับมาอัปบล็อกอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้เขียนมานาน คิดอยู่ว่ามีหลายเรื่องที่ยังไม่ได้เล่า อยากจะค่อยๆทยอยพิมพ์ไปทีละนิด เลยลองมานั่งคิดดูว่าจะเขียนอะไรดี เลยนึกขึ้นได้ถึงทริปนี้ ที่ไปมาตั้งแต่เดือนกันยายนเมื่อปี 2019 แล้ว มาถึงวันนี้ ครบ 5 ปีพอดิบพอดี จึงได้ฤกษ์เขียนถึงด้วยความคิดถึง
ทริปที่ว่านี้คือทริปไปเยือนเกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น กับครอบครัวเพื่อนบ้าน ซึ่งทริปนี้พวกเราไปเยือนแค่เกาะหลักเพียงเกาะเดียว โดยใช้เวลา 3 วัน เลยจะมาเล่าบรรยากาศคร่าวๆให้ได้อ่านกันครับ
ก่อนที่จะเขียนว่าไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง ก็จะขอพูดถึงเกาะโอกินาวากันก่อน
สำหรับโอกินาวา เป็นจังหวัดซึ่งเป็นหมู่เกาะ ตั้งอยู่ทางใต้สุดของประเทศญี่ปุ่น โดยหมู่เกาะโอกินาวานี้ ประกอบไปด้วยเกาะนับร้อยเกาะ มีเกาะที่ใหญ่ที่สุด คือเกาะโอกินาวา (ที่พวกเราไปกัน) มีเมืองหลวงชื่อ นะฮะ ตั้งอยู่ทางใต้ของเกาะ ในอดีต โอกินาวาเคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรริวกิวอันรุ่งเรือง และเนื่องจากในสมัยนั้น อาณาจักรริวกิวมีฐานะเป็นรัฐบรรณาการต่อราชวงศ์หมิงแห่งจักรวรรดิจีน ทำให้ได้รับเอาวัฒนธรรมต่างๆมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ที่นี่จึงมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งแตกต่างจากเกาะหลักของญี่ปุ่น จนกระทั่งถึงยุคการปฏิรูปเมจิ อาณาจักรริวกิวก็ได้ถูกยึดครองโดยจักรวรรดิญี่ปุ่น และถูกเปลี่ยนเป็นจังหวัดโอกินาวา ในปี ค.ศ. 1879 เกาะโอกินาวาเป็นที่รู้จักในสายตาชาวโลกอีกครั้ง เมื่อตกเป็นพื้นที่สมรภูมิที่มีการสูญเสียมากที่สุดแห่งหนึ่ง ในภูมิภาคแปซิฟิก ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง หลังสงครามจบ เกาะโอกินาวาได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐอเมริกาอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะส่งมอบกลับคืนให้กับญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1972
ส่วนตัวของผมเอง มีภาพจำที่ประทับใจของเกาะโอกินาวา จากบรรยากาศที่สงบ สวยงาม ของหมู่บ้าน ผู้คน และท้องทะเลที่เคยเห็นในโทรทัศน์ รวมไปถึงบทเพลงพื้นบ้านอันไพเราะที่เคยได้ฟัง ด้วยเครื่องดนตรี Sanshin ที่คล้ายกับ Shamisen ของญี่ปุ่น ทำให้อยากมาเที่ยวที่นี่สักครั้งในชีวิต เมื่อมีโอกาสและกำลังทรัพย์พอดี จึงนัดแนะชวนกันกับครอบครัวของเพื่อนบ้าน จองตั๋วเครื่องบินสายการบินของญี่ปุ่น จากสนามบินสุวรรณภูมิ บินตรงมาลงที่สนามบินนานาชาติเมืองนะฮะ ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนที่จะมีสถานการณ์ไวรัสโควิดระบาด การเดินทางจึงยังไม่เคร่งครัดมากนัก เมื่อถึงสนามบินก็มีรถรับส่งไปยังสถานีรับรถเช่า ที่ขอจองไว้ตั้งแต่อยู่ประเทศไทย ผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ไว้ก่อนแล้ว โดยมีหลักฐานที่น้องสาวไปสอบใบขับขี่สากล มาแนบประกอบตอนยื่นคำขอด้วย การท่องเที่ยวที่นี่จะสะดวกมากขึ้น ถ้าเลือกขับรถเช่าเอง แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องความเสียหายและอุบัติเหตุ เพราะถ้ามีเรื่องขึ้นมา ก็ต้องเสียค่าปรับแพงมาก ดังนั้นต้องเคารพกฏของเขาด้วย ที่ญี่ปุ่นขับรถฝั่งเดียวกับบ้านเรา จึงไม่ค่อยมีปัญหา ที่เหลือก็ค่อยๆปรับตัวเรื่องจำกัดความเร็ว เพราะที่โอกินาวา ให้ขับขี่ได้ไม่เกิน 60 ก.ม./ช.ม.
มาถึงที่นะฮะแล้ว ก็เดินทางไปเก็บข้าวของที่โรงแรมก่อน ซึ่งโรงแรมก็จองผ่านเว็บไซต์ไว้ก่อนแล้วเช่นกัน จากนั้นจึงเลยออกมาหาข้าวเช้ากิน น้องสาวบอกว่าอยากกินอาหารทะเลใจจะขาดมาตั้งแต่อยู่ประเทศไทยแล้ว พวกเราจึงตรงไปตลาดสดแถวโรงแรม ที่มีอาหารทะเลสดขายอยู่ ตอนนั้นก็เป็นเวลาเกือบ 9 โมงเช้าแล้ว อดข้าวมาตั้งแต่กลางคืน จึงจัดชุดอาหารทะเลไปเต็มที่ แต่น้องบอกว่า เคยไปโอซาก้ามาแล้ว ชอบอาหารทะเลที่นั่นมากกว่า
อิ่มหนำกันแล้ว ถึงเวลาขับรถอ้อมเมืองนะฮะ ไปยังที่เที่ยวแห่งแรกของเรากัน เราไปเยือนปราสาทชูริ ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ ตอนที่เราไปนั้น ปราสาทแห่งนี้ยังไม่ถูกไฟไหม้ (มีเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในอีกไม่กี่ปีถัดมา ส่งผลให้ตัวปราสาทเสียหายพอสมควร) ซึ่งสมัยที่โอกินาวา ยังเป็นอาณาจักรริวกิวนั้น มีการปกครองตนเองด้วยระบอบกษัตริย์ พื้นที่แห่งนี้และบริเวณใกล้เคียงก็เป็นที่ประทับของกษัตริย์ริวกิว ตัวปราสาทจะต้องเดินขึ้นไปบนเนินเตี้ยๆ ซึ่งล้อมไปด้วยกำแพงหินอีกที ปราสาทแห่งนี้มีความงดงาม เป็นเอกลักษณ์ที่มีอิทธิพลมาจากประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นตัวปราสาทที่มีสีแดงสด และลายไม้แกะสลักรูปมังกรบนหน้าจั่วและหลังคา บ่งบอกถึงช่วงเวลาที่เคยตกอยู่ใต้อิทธิพลของจีนช่วงหนึ่ง ต่อจากนั้นจึงเดินเข้าชมในตัวอาคาร ซึ่งมีทั้งหมด 3 หลัง จะมีพระตำหนักตรงกลางที่สูง 3 ชั้น ภายในมีบัลลังก์ประทับสำหรับกษัตริย์ พื้นที่ส่วนใหญ่ภายในไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ ปราสาทแห่งนี้เคยถูกทำลายจากการทิ้งระเบิด ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนจะมีการบูรณะตัวปราสาทครั้งหนึ่ง ปราสาทชูริได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2000
เดินออกมาจากปราสาทชูริ โดยจอดรถไว้ที่ลานจอดรถเดิม ลงมาจากเนินด้านบนไม่ไกลนัก ใกล้กันนั้นเองเป็นที่ตั้งของสุสานบรรพกษัตริย์ Tamaudun ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 เป็นหลุมฝังศพสำหรับกษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์แห่งราชอาณาจักรริวกิว ตัวสุสานสร้างด้วยหินขนาดใหญ่ ที่สะดุดตาคือทางเข้า ซึ่งร่มรื่นด้วยอุโมงค์ต้นไม้ใหญ่ ได้บรรยากาศ
มีทางเดินต่อมาเรื่อยๆ ที่ด้านล่างเนินปราสาทชูริ ซึ่งมีชุมชนเล็กๆ ที่มีบ้านเรือนหลายหลัง สร้างตามสถาปัตยกรรมโบราณ แบบดั้งเดิมของอาณาจักรริวกิว ทางเดินปูด้วยหินยาวเกือบสองกิโลเมตร กับบรรยากาศที่เงียบสงบ ให้ความสวยงาม ร่มรื่น บ้านเรือนบางหลังมีรูปปั้น ชีซ่า สัตว์ตำนานที่มีรูปร่างคล้ายสิงโต ที่เชื่อว่าเป็นเทพเจ้าผู้ปกปักษ์รักษาคุ้มครองเกาะโอกินาวา ตั้งไว้อยู่บนหลังคาหรือหน้าประตูรั้ว ระหว่างทางยังมีร้านอาหาร คาเฟ่เล็กๆ รวมไปถึงตู้สะดวกซื้อ อยู่ตามรายทางด้วย เดินไป เสียเหงื่อเล็กน้อย พร้อมหยาดฝนที่หยดโปรยปรายลงมาให้พอชุ่มฉ่ำ สลับกับแดดยามบ่าย ตามสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้เป็นธรรมดาของหมู่เกาะเขตร้อน พอหายเหนื่อย จึงได้เวลาขับรถชมเมืองนะฮะยามเย็นเล่นๆ ก่อนที่จะเข้าพักผ่อนที่โรงแรมกัน ลุงๆป้าๆน้าๆ บ่นปวดขา แต่ก็บอกว่าคุ้ม เพราะเมืองนะฮะสวยงามมาก
รุ่งเช้าเราออกจากที่พัก ไปตามทางหลวงสี่เลนขึ้นไปยังตอนเหนือของเกาะ น้องสาวข้างบ้านทำหน้าที่เป็นคนขับรถเหมือนเดิม ส่วนผมก็กำกับ GPS ในรถ ควบคุมหน้าจอ เพื่อบอกเส้นทางให้กับน้อง เป็นการเดินทางสู่ตอนกลางของเกาะในช่วงเช้าของวัน ระหว่างทางอันยาวไกล เราแวะร้านสะดวกซื้อข้างทาง เพื่อหาของกิน ผมเลยได้โอกาสแวะดูซีดีเพลงพื้นบ้านที่ถูกใจ แต่ยังไม่พบแผ่นที่ต้องการ เลยมุ่งหน้าต่อไป
สถานที่ถัดมาบนเส้นทาง คือ Busena Marine Park ที่นี่เป็นหอสังเกตการณ์ใต้น้ำเพียงแห่งเดียวบนเกาะโอกินาวา ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆโรงแรมบุเซน่ารีสอร์ท พวกเราต้องเดินข้ามสะพานจากฝั่ง ลงไปชมวิวใต้น้ำลึก 5 เมตร ผ่านหอกระจกที่มีมุมมองโดยรอบ 360 องศา นอกจากนั้นยังมีบริการพิเศษที่เราจะนั่งเรือท้องกระจก ออกไปชมความงามใต้ท้องทะเลได้ และสามารถมองเห็นปลาสวยงามและปะการังน้อยใหญ่ ใต้ผืนน้ำผ่านกระจกท้องเรือ โดยที่ตัวไม่ต้องเปียก
คุ้มค่ากับค่าเสียเงินลงเรือดูโลกใต้ทะเล เราก็นั่งรถต่อยาวๆ มาแวะกินราเมงเจ้าอร่อยกันที่เมืองนาโงะ ซึ่งคนต่อแถวยาวเหยียด แต่เราก็รอ เพราะอยากกิน
ที่เมืองนาโงะนี้ ที่สำคัญที่ต้องแวะ พลาดไม่ได้เลย นั่นคือ Churaumi Aquarium เป็นอควาเรียมที่ใหญ่ที่สุดติดในสิบอันดับแรกของโลก คำว่า Chura มาจากภาษาท้องถิ่น แปลว่า งดงาม ผสมกับคำว่า Umi ที่แปลว่า ทะเล หรือมหาสมุทร ก็แปลได้ว่า มหาสมุทรที่งดงามนั่นเอง ที่นี่เป็นสถานที่แสดงสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลนานาพันธุ์ แต่ที่น่าตื่นตาที่สุด ก็เห็นจะเป็นแท็งก์ยักษ์ ที่มีฉลามวาฬตัวยักษ์ใหญ่ว่ายรวมอยู่ด้วยกันถึง 3 ตัว พร้อมสัตว์ทะเลชนิดอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งตัวแท็งค์นั้นใหญ่มาก และมองได้จากทุกมุมมอง จนเราสามารถมองเห็นฉลามวาฬทุกตัวได้จากทั้งข้างหน้า ข้างบน และข้างล่างท้องมันเลยทีเดียว นอกจากนี้ด้านนอกยังมีบ่อแสดงของโลมา เพนกวิน รวมไปถึงเต่าทะเลหายากอีกด้วย
ออกมาจาก Churaumi Aquarium ไม่ไกลกันมากนัก เราก็มาถึง Bise Fukugi Tree Road เป็นหมู่บ้านที่มีทิวทัศน์แปลกตาด้วยต้นฟูคูกิ ซึ่งถูกปลูกบนแนวถนนเรียงกันตลอดทั้งสายในหมู่บ้านคล้ายตาราง ต้นไม้เหล่านี้ช่วยปกป้องชายฝั่งโอกินาวาจากพายุไต้ฝุ่นอันรุนแรง ที่พัดโจมตีเกาะทุกปี ช่วยบรรเทาความเสียหายที่เกิดจากพายุได้ เมื่อได้ใช้เวลาเดินซึมซับบรรยากาศของหมู่บ้าน ก็พบกับความสงบร่มรื่น ที่นี่ยังมีการใช้เกวียนลากด้วยควาย เป็นพาหนะภายในชุมชนอยู่ด้วย เช่นเดียวกับเกาะเล็กๆเกาะอื่นบางเกาะ ของหมู่เกาะโอกินาวา ที่ยังคงเห็นภาพเช่นนี้อยู่
ความจริงแล้วมีที่เที่ยวอีกเยอะแยะเลย ขึ้นไปทางตอนเหนือของเกาะโอกินาวา อย่างเช่น บริเวณแหลมเฮโดะ แต่เพราะเวลาจำกัด เราจึงต้องรีบมุ่งหน้ากลับลงมาที่พักตรงเส้นทางเดิม พรุ่งนี้ตั้งใจว่าจะกลับเข้าเมืองนะฮะแล้ว
วันต่อมา เราย้อนกลับมาลงทางใต้ แวะผ่านที่ Cape Manzamo หรือ แหลมมันซะโมะ ซึ่งเป็นแหลมที่ยื่นออกมาจากชายฝั่งทางตะวันตกของเกาะโอกินาวา เป็นรูปคล้ายๆงวงช้าง อันเกิดจากการกัดเซาะของกระแสลมและน้ำทะเลตามธรรมชาตินับร้อยๆปี จากที่จอดรถต้องเดินเข้าไปไกลนิดหนึ่ง แต่ทิวทัศน์บริเวณแหลมก็ดูกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ด้วยพื้นหญ้าสีเขียว ยกเว้นอากาศที่เริ่มร้อนขึ้น ทำให้เราแวะที่ตรงนี้ไม่นานเท่าไหร่
พูดถึงเราก็ไม่ได้สัมผัสกับที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของเกาะโอกินาวาตามที่ตั้งใจไว้เลย ดังนั้น ที่ต่อไปที่เราจะไม่พลาด นั่นคือ Ryukyu Mura หมู่บ้านริวกิว ซึ่งเป็นสถานที่ที่เปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์รวบรวมศิลปะ และวัฒนธรรมของชาวริวกิวโบราณเอาไว้ให้ชมกัน เป็นหมู่บ้านที่สร้างจำลองบรรยากาศอาณาจักรริวกิวโบราณไว้อย่างสมจริง ภายในหมู่บ้านจะมีคนแต่งชุดโบราณ มานั่งทำกิจกรรม เช่น ทอผ้า ซึ่งสอบถามแล้ว ว่าบางคนเป็นนักศึกษาฝึกงาน จากในประเทศญี่ปุ่นก็มี มาจากประเทศจีนบ้างก็มี บางคนก็ดูมีอายุขึ้นมาหน่อย แต่ใจดี และให้ข้อมูลกับเราเป็นกันเองมาก มีกิจกรรมต่างๆให้นักท่องเที่ยวทำ เช่นระบายสีรูปปั้นชีซ่า มีมุมของกิน ขายของที่ระลึก รวมไปถึงจัดแสดงการแสดงดนตรี และระบำพื้นบ้านอีกด้วย ซึ่งเราทานข้าวเที่ยง และซื้อของฝากให้ที่บ้านกันที่นี่เลย
ที่ต่อมาเราลังเลใจระหว่างสามที่ เพราะเวลามีจำกัดแล้ว ว่าจะไปเยือนที่ไหนดี ระหว่าง ปราสาท Katsuren, ปราสาท Nakagusuku หรือปราสาท Zakimi สุดท้ายดูจากเส้นทางใน GPS เราเลยเลือก ปราสาท Nakagusuku เพราะไม่เสียเวลาขับรถอ้อมเยอะ ซึ่งก็สมใจทีเดียว เพราะสถานที่และวิวข้างบนนั้นสวยงามมาก ที่แห่งนี้แต่เดิมเคยเป็นปราสาทเก่าแก่อายุหลายร้อยปี สร้างขึ้นบนเนินเขาสูง จากด้านบนสามารถมองเห็นทิวทัศน์ทะเลของอ่าว Nakagusuku ไปจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิก และเมืองโยมิตันได้เป็นอย่างดี และยังถือเป็นซากปราสาท ที่ยังมีความสมบูรณ์หลงเหลือมากที่สุดบนเกาะโอกินาวาอีกด้วย
เราแวะที่หมู่บ้านอเมริกัน เพื่อซื้อของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ ก่อนจะกลับถึงตัวเมืองนะฮะอีกครั้งในคืนที่สอง ในคืนนั้น ผมแวะร้านซีดีในเมือง และได้ซื้อซีดีเพลงพื้นบ้านโอกินาวาแผ่นโปรดสมใจ เป็นอัลบั้มเพลงเก่าของคุณ Misako Koja ซึ่งเป็นอัลบั้มเดี่ยวของเธอ ชื่อว่า Meguru Inochi (1999) ได้ลิ้มลองไอศกรีมญี่ปุ่นสมใจ ระหว่างที่รอคุณน้าข้างบ้านช็อปปิ้งอยู่ที่ร้านข้างๆ เลยได้ของฝากกลับบ้านไปเพียบเลย
บนถนนยามเย็น รวมถึงในห้างสรรพสินค้า เราพบเห็นผู้คนทำกิจกรรมกันข้างนอกนั่น ทั้งขบวนพาเหรดพื้นเมืองของคนวัยหนุ่มสาว และเด็กๆตัวน้อย สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมต่อรอยยิ้มของผู้คนที่นี่ ที่ดูกระฉับกระเฉงและสดใสตลอดเวลา
มาถึงวันสุดท้ายก่อนกลับบ้าน เราเที่ยววนๆอยู่ในเมืองนะฮะ เพื่อรอขึ้นเครื่องกลับที่สนามบิน เช้าตรู่เรารีบไปจองรอบแสดงของ Okinawa World Culture Kingdom เพื่อให้ทันคืนรถเช่าในตอนเย็น ซึ่งศูนย์แสดงวัฒนธรรมแห่งนี้ จะเปิดให้ชมการแสดงวัฒนธรรมของหมู่เกาะริวกิวเป็นรอบๆ เช้า และบ่าย ซึ่งมี 3 โซนด้วยกัน นั่นคือ พิพิธภัณฑ์งู (ซึ่งส่วนตัวไม่ค่อยชอบงูเท่าไหร่ เลยเดินผ่านๆไป) เดินมาก็จะเป็นเข้าชมถ้ำเกียวคุเซนโด เป็นถ้ำหินปูนอายุยาวนานกว่า 300,000 ปี เป็นถ้ำหินงอกหินย้อยที่งดงามตระการตามาก มีน้ำตกขนาดเล็กๆในถ้ำด้วย ก่อนจะออกจากถ้ำมาพบกับ หมู่บ้าน Kingdom Village ที่จำลองวิถีชีวิตของชาวริวกิวเอาไว้ มีการแสดงศิลปหัตถกรรมของชาวบ้านแขนงต่างๆ รวมไปถึงกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองทำ เช่นการแกะสลัก การทอผ้า และการปั้นเครื่องปั้นดินเผา ที่ดูน่าตื่นตา ก็คือ โรงงานเป่าแก้ว ที่น่าทึ่งมากๆ
สุดท้ายสิ่งที่ผมและน้องสาวสนใจมากที่สุด กลับกลายเป็นที่เดินนวดเท้าอันนี้ ที่บอกว่าผ่อนคลายเท้าเพื่อสุขภาพ แต่น้องบอกว่า เดินแล้วเจ็บเท้าเหมือนโดนตำ (ฮ่าๆ) ปิดท้ายรอบการทัวร์ที่การแสดงระบำกลองเอสะ ซึ่งเป็นการแสดงระบำกลองพื้นบ้านของโอกินาวา ผมคุ้นหูกับท่วงทำนองจากเพลงที่เคยฟังมาก่อนแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวถ่ายวิดีโอการแสดงนี้ เลยไม่ได้ถ่ายมาให้ทุกคนดูครับ
เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง จะต้องเอารถเช่าไปคืนแล้ว ไม่รู้จะไปแวะที่ไหนดี น้องเลยพาทุกคนขับรถไปชมบรรยากาศเมืองนะฮะต่อ แล้วพาคุณน้าไปช็อปปิ้ง ส่วนผมขอตัวไปช็อปหนังสือ และแผ่นซีดีแผ่นที่สอง เลยได้อัลบั้มชุดนี้มา เป็นของวง Unaigumi อัลบั้ม Unaijima (2015) วงเดียวกับที่มีคุณ Misako Koja ผู้ประพันธ์เพลงฮิต Warabigami เป็นสมาชิก โดยรวมสมาชิกวง Nenes ยุคแรกเข้าด้วยกัน ซึ่งผมชอบซีดีแผ่นนี้มากครับ (แผ่นแรกที่เพราะมากๆเช่นกัน) ซื้อซีดีเสร็จแล้ว ก็ไปนั่งทานไอศกรีมอร่อยๆเย็นๆที่คาเฟ่ใกล้ๆกัน มีรสที่ผสม Umibudo สาหร่ายทะเลที่มีสัมผัสคล้ายไข่ปลาคาเวียร์ด้วย ก็อร่อยดีครับ หนีบๆหนับๆกรุบๆดี เราขึ้นเครื่องกลับรอบหนึ่งทุ่มครับ แล้วแยกย้ายกันที่สุวรรณภูมิ ผมเลยนั่งเครื่องต่อกลับถึงลำปางคนเดียว ถึงบ้านแล้วอารมณ์ยังไม่จบ นั่งฟังซีดีสองแผ่นที่ซื้อมาจากโอกินาวา วนไปเรื่อยๆ คิดถึงบรรยากาศดีๆที่นั่นจัง มีโอกาสหวังว่าจะได้ไปเที่ยวที่เกาะอื่นๆอีกสักเกาะสองเกาะนะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น