Shima Uta: เอกลักษณ์เสียงเพลงและวิถีชีวิตแห่งเกาะอะมามิของญี่ปุ่น
ในการศึกษาดนตรีพื้นเมืองของโลก มีประเภทดนตรีต่างๆจากทั่วทุกมุมโลกที่เริ่มเป็นที่รู้จักในบรรดาผู้รักเสียงเพลง ตั้งแต่ดนตรีของชนเผ่าพื้นเมืองในทวีปแอฟริกา ไปจนถึงดนตรีทางศาสนาในตะวันออกกลาง ในจำนวนประเภทดนตรีมากมายเหล่านั้น ดนตรีของทวีปเอเชียตะวันออกอันห่างไกล เริ่มถูกนำมาศึกษา ค้นพบ และรับฟังโดยนักดนตรีชาวตะวันตกอยู่เสมอมา
เป็นช่วงเวลาประมาณต้นปีทศวรรษ 2000 เมื่อนักร้องเพลงป็อบญี่ปุ่นกระแสหลักอย่าง Chtitose Hajime ได้นำพาให้ทั่วโลกรู้จักกับหนึ่งในเสียงเพลงพื้นเมือง ที่เป็นเอกลักษณ์มากที่สุดเสียงหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น ผู้คนก็เริ่มสนใจในวิธีการร้องเพลงที่โดดเด่นและสวยงาม ที่มีเพียงที่เดียวในโลก บนเกาะอะมามิ ของประเทศญี่ปุ่น เพียงเท่านั้น เสียงเพลงเฉพาะที่เรียกว่า Shima Uta หรือ เพลงของเกาะ
Shima Uta เกิดขึ้นจากคำสองคำ คำว่า Shima เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า "เกาะ" มันสามารถแปลได้อีกอย่างว่า "ชุมชน" ในอะมามิ ซึ่งหมายความถึง เขตชุมชนภายในหมู่เกาะ Amami Oshima และเกาะอื่นๆใกล้เคียง ซึ่งเชื่อมโยงกับเหล่าหมู่เกาะที่อยู่ห่างไกลไปในทะเล และไม่ค่อยได้ติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก พวกเขาจึงมีเพลงของชุมชนไว้ใช้สื่อสาร หรือ Uta ในภาษาญี่ปุ่น ที่แปลว่า "เพลง"
เกาะอะมามิ เป็นหมู่เกาะ ตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะคิวชู ทะเลจีนตะวันออกสร้างชายฝั่งทางตะวันตกของเกาะ ในขณะที่มหาสมุทรแปซิฟิกเป็นชายฝั่งทางด้านตะวันออก เกาะนี้ขึ้นอยู่กับจังหวัดคาโกะชิมะ ประเทศญี่ปุ่น และเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะริวกิว เกาะหลักของหมู่เกาะอะมามิ ชื่อว่า เกาะ Amami Oshima เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางจากเกาะคิวชู ถึงเกาะโอกินาวา แม้ตัวเกาะจะอยู่ห่างไกลและล้อมรอบด้วยทะเลอันกว้างใหญ่ แต่ผู้คนก็อาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่สมัยโบราณ เกาะอะมามิถูกยึดครองโดยหลายแผ่นดิน หลายยุคสมัย เคยผลัดกันถูกปกครองจากทั้งอาณาจักรริวกิวจากทางเกาะโอกินาวา และญี่ปุ่นเกาะใหญ่ด้านบนในอดีต จากทั้งความสัมพันธกับทั้งสองอาณาจักร รวมถึงที่ตั้งของเกาะ ทำให้วัฒนธรรมของเกาะอะมามินั้น ใกล้เคียงกับเหล่าผู้คนในหมู่เกาะริวกิวมากกว่าเกาะใหญ่ของญี่ปุ่น ในลักษณะที่แตกต่างไปจากโอกินาวา ในขณะที่วัฒนธรรมของเกาะโอกินาวามีอิทธิพลส่วนใหญ่มาจากจีน วัฒนธรรมบนเกาะอะมามิมีอิทธิพลส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่นเกาะใหญ่ ดังนั้นผู้คนบนเกาะนี้จึงมักถือวัฒนธรรมของตนเอง ว่าเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากเกาะโอกินาวา และมีความภูมิใจในสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างมาก
Shima Uta เป็นลักษณะของการร้องเพลงที่ใช้การเอื้อนเสียงหลบค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นการร้องที่มักจะไม่ค่อยได้ยิน และหลีกเลี่ยงในการร้องเพลงแบบธรรมดา ของทางญี่ปุ่นเกาะใหญ่หรือที่อื่นในโลก เสียงร้องของผู้หญิงและผู้ชายมักจะร้องด้วยเสียงค่อนข้างสูงอยู่ในโทนเดียวกัน นั่นทำให้ Shima Uta มีเสียงที่โดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากเสียงร้องที่อื่นใดในโลก นักร้องมักจะร้องเพลงคู่กับเครื่องดนตรีที่เรียกว่า Sanshin ซึ่งมีลักษณะคล้าย Shamisen ของญี่ปุ่น แต่มีขนาดเล็กกว่า โดยลำตัวเครื่องเล่นมักจะหุ้มด้วยหนังงู บทเพลงมักจะถูกขับร้องเป็นคู่ชายหญิงในลักษณะขานรับกัน ตัวเพลงมีโครงสร้าง และโน้ตบางส่วนคล้ายคลึงกับเพลงพื้นเมืองของเกาะโอกินาวา ต้นกำเนิดของเพลง Shima Uta นั้นไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่บางที่มานั้น สันนิษฐานว่าพัฒนามาจากบทสวดทางศาสนาในท้องถิ่นที่ผสานเข้ากับเพลงละคร เหมือนเช่นเพลงพื้นเมืองบนเกาะโอกินาวา และเกาะอื่นๆในหมู่เกาะริวกิว เพลงละครที่ถูกผสมผสานเหล่านี้จึงค่อยถูกพัฒนามาเป็นเพลงที่มีเนื้อร้องชัดเจนในภายหลัง เมื่อถึงยุคที่ชาวเกาะเริ่มที่จะถ่ายทอดความรู้สึกส่วนตัว ลงไปในบทเพลงในผู้คนทั่วไปได้ฟัง บทเพลงในรูปแบบเนื้อร้องถูกขัดเกลาด้วยโน้ตเวลาเล่นไปพร้อมกับ Sanshin มันเป็นการพัฒนา ตัดทอน จากเพลงละครมหากาพย์ สู่รูปแบบที่สั้นกว่า ชัดเจนกว่า มีการแสดงความรู้สึกด้วยเนื้อร้อง ซึ่งในภายหลังก็กลายมาเป็น Shima Uta ของเกาะอะมามินั่นเอง ส่วนข้อสันนิษฐานอื่นๆ ยังคงยึดจากหลักเดียวกัน เพียงแต่ย้ายต้นกำเนิดจากเพลงละครของเกาะโอกินาวา มาเป็นเพลงละครจากเกาะใหญ่ของญี่ปุ่นแทน
แม้ว่าจะไม่สามารถระบุต้นกำเนิดของ Shima Uta ได้ชัดเจน การที่มีข้อสันนิษฐานถึงการพัฒนาในการใช้เนื้อเพลงสื่อสารความรู้สึกของสิ่งต่างๆเป็นลักษณะที่เห็นได้ร่วมกันทั่วไป เมื่อมองเห็นได้ว่า Shima Uta เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนบนเกาะอะมามิ บทเพลงต่างๆถูกขับร้องในงานพิธีและเฉลิมฉลอง ในช่วงเริ่มต้นและช่วงจบงาน ในทุกๆช่วงของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย พวกเขามักจะขับร้องไปตามจังหวะกลองตลอดทั้งคืนในช่วงเทศกาล ร้องในการประชุมประจำวัน หรือระหว่างมื้ออาหาร และยังเป็นการสื่อสารไปสู่คนใกล้ชิดด้วยวิธีที่สวยงามและน่าชื่นชมมากยิ่งขึ้นอีกด้วย เวลาที่ภรรยามีปัญหาในชีวิตประจำวัน และไม่สามารถอธิบายให้สามีฟังได้ตรงๆ เธอก็จะสามารถร้องมันออกมาเป็นเพลง เพื่อให้สามีได้ฟังและเข้าใจเธอได้ หลายๆเพลงแต่งขึ้นเพื่อขับร้องในยามที่ผู้คนทำงานด้วยกัน เช่น ในบริเวณไร่อ้อย มีหลายบทเพลงที่เกี่ยวข้องกับหลากหลายอารมณ์ ทั้งความรัก ความกังวล ความโกรธ และความเศร้า พวกเขาร้องบทเพลง Shima Uta ทั้งหมดเหล่านี้มาเนิ่นนานในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของเกาะอะมามิ สื่อสารตามแต่สถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญ
Shima Uta สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆด้วยกัน ประเภทแรกเป็นบทเพลงทางศาสนา ที่ร้องโดยนักบวช อย่างที่สองเป็นบทเพลงใช้สำหรับกล่อมเด็ก ส่วนอย่างที่สามเป็นเพลงพื้นเมืองทั่วไปที่ทุกคนขับร้องกันในชีวิตประจำวัน เพลงพื้นเมืองประเภทหลังสุด ยังแบ่งออกได้เป็นอีกสามประเภทย่อย ตามโอกาสที่ชาวเกาะจะขับร้อง ได้แก่ บทเพลงสำหรับงานประจำปี บทเพลงที่ใช้ร้องเวลาทำงานร่วมกัน และบทเพลงที่ขับร้องเวลาพบปะสังสรรค์
ด้วยความใกล้เคียงบางส่วน คำว่า Shima Uta มักถูกเข้าใจผิด โดยมักนำไปรวมกับเพลงพื้นบ้านของเกาะโอกินาวา ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้คนที่ยึดถือคำว่า Shima Uta ว่าเป็นเอกลักษณ์ต้นกำเนิดเฉพาะของเกาะอะมามิเพียงเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว Shima Uta ไม่ใช่คำพื้นเมืองของเกาะโอกินาวา แต่ถูกเผยแพร่ไปยังเกาะโอกินาวาจากเกาะอะมามิในช่วงทศวรรษที่ 70 โดยชาวท้องถิ่นของเกาะอะมามิที่อพยพไปที่นั่น
ในปี ค.ศ. 1992 วงดนตรี THE BOOM ได้ปล่อยซิงเกิ้ลเพลงชื่อว่า Shima Uta ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงพื้นเมืองของเกาะโอกินาวา เพลงนี้กลายเป็นเพลงฮิตไปทั่วประเทศญี่ปุ่นและทั่วโลก ผู้คนจากญี่ปุ่นเกาะใหญ่เริ่มโยงคำว่า Shima Uta ไปคู่กับเพลงพื้นเมืองของเกาะโอกินาวา ตั้งแต่เพลงนี้ได้รับความนิยม
Shima Uta จากเกาะอะมามิ เริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่วเอเชีย เมื่อประมาณต้นปีทศวรรษ 2000 เมื่อนักร้องชื่อดังชาวอะมามิ อย่าง Chitose Hajime นำรูปแบบการร้องเพลงแบบ Shima Uta ของบ้านเกิดของเธอใส่เข้าไปในบทเพลงของเธอด้วย เป็นการผสมผสานการร้องเพลงแบบพื้นเมือง เข้ากับเพลงป็อบญี่ปุ่นสมัยใหม่ ทำให้กระแสของ Shima Uta แบบผสมผสานเริ่มโด่งดังไปทั้งประเทศญี่ปุ่น นักร้องจากเกาะอะมามิรุ่นหลังๆหลายคนเริ่มเดินตามรอยของเธอ ที่จะร้องเพลงแบบผสมผสานเช่นนี้ แม้ว่านักวิจารณ์บางคนจะออกมาพูดว่า นักร้องแนวผสมผสานรุ่นหลัง จะไม่ได้ใช้เทคนิคการร้องเพลง Shima Uta ทั้งหมดในบทเพลงของพวกเขา บางคนก็วิจารณ์ว่ากระแสของ Shima Uta แบบผสม ทำให้ Shima Uta แบบท้องถิ่นดั้งเดิมเริ่มสูญหายไป แต่ในขณะเดียวกัน บางคนก็มองว่านั่นเป็นเหตุผลที่ขึ้นอยู่กับมุมมองและคุณค่าของแต่ละคน พวกเขากล่าวว่า นักร้องทุกๆคนกำลังทำงานเพื่ออนุรักษ์เพลง Shima Uta ของเกาะอะมามิอย่างเต็มที่ ภารกิจนี้ยังขยายขอบเขตไปยังเกาะใกล้เคียงอย่างเช่น เกาะโอกินาวา ที่แม้เพลงพื้นเมืองของทั้งสองเกาะ จะมีความแตกต่างอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อพิจารณาถึงการพัฒนาและข้อสันนิษฐานในต้นกำเนิดของบทเพลงแล้ว Shima Uta ของอะมามิ และเพลงพื้นเมืองของโอกินาวา ก็มีส่วนเกี่ยวข้องที่เหมือนกัน มีโรงเรียนสอนร้องเพลงหลายแห่งบนเกาะโอกินาวาที่สอนขับร้องและบรรเลงเพลง Shima Uta สำหรับผู้เชี่ยวชาญอีกด้วย
เนื่องจาก Shima Uta เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของชาวเกาะอะมามิ วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของชาวเกาะก็ส่งผลต่อความอยู่รอดของ Shima Uta ได้โดยตรง ผู้คนบนเกาะหลายคนย้ายถิ่นไปยังญี่ปุ่นเกาะใหญ่ และใช้ชีวิตแบบทุนนิยม มากกว่าพอเพียง นักวิจารณ์บางคนกล่าวว่า วิธีการอนุรักษ์และสนับสนุนวิถีชีวิตชุมชนแบบดั้งเดิมของชาวเกาะอะมามิ ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมชุมชนของเกาะแบบเก่า เปิดโอกาสให้ผู้คนบนเกาะได้พบปะกันมากขึ้น เพื่อมีโอกาสได้ร้องเพลงสังสรรค์กัน เป็นวิธีการที่น่าสนใจและท้าทาย ในการอนุรักษ์บทเพลง Shima Uta แบบดั้งเดิมเอาไว้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น